ข้อควรระวังในการซ่อมบำรุง
id000000800200
ข้อควรระวังเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ/ความเสียหาย
• พัดลมระบายความร้อนอาจทำงานทันทีถึงแม้ว่าเครื่องยนต์จะดับอยู่ (LOCK) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรถแต่ละรุ่นด้วย ดังนั้นให้ระวังไม่ให้มือและเครื่องมือเข้าใกล้พัดลมระบายความร้อนเกินไปเพื่อป้องกันการบาดเจ็บหรือความเสียหายที่อาจเกิดกับบุคคล หรือพัดลมระบายความร้อน ให้ถอดสายแบตเตอรี่ขั้วลบออกเสมอเมื่อต้องทำงานเกี่ยวกับพัดลมระบายความร้อน หรือชิ้นส่วนบริเวณใกล้เคียง
การปกป้องรถยนต์
• ต้องแน่ใจว่าได้ใช้ผ้าคลุมส่วนบังโคลน, เบาะนั่ง และพื้นรถก่อนเริ่มต้นทำงาน
การเตรียมเครื่องมือและเครื่องมือตรวจวัด
• ต้องแน่ใจว่าได้เตรียมเครื่องมือและเครื่องมือตรวจวัดที่จำเป็นทุกชิ้นไว้พร้อมแล้วก่อนเริ่มต้นทำงาน
เครื่องมือพิเศษในการบริการ
• ใช้เครื่องมือเศษในการบริการหรือเทียบเท่าเมื่อจำเป็น
ระบบการวิเคราะห์ปัญหา
• ใช้ระบบ M-MDS (Mazda Modular Diagnostic System) เพื่อวิเคราะห์ปัญหาความผิดปกติ
การเชื่อมต่อกับระบบวิเคราะห์ปัญหา
-
• ในขณะที่ OFF สวิตช์กุญแจ ให้เชื่อมต่อกับระบบวิเคราะห์ปัญหาที่ขั้วต่อ DLC-2 ดังแสดงในภาพ
การตรวจสอบการรั่วซึมของน้ำมันหล่อลื่น
• ใช้ขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งต่อไปนี้เพื่อระบุประเภทของน้ำมันหล่อลื่นที่รั่ว:
การใช้แสง UV (แบล็กไลต์)
1. ถ่ายน้ำมันหล่อลื่นออกจากเครื่องยนต์หรือระบบเกียร์/เกียร์ขับเคลื่อนล้อหน้า
-
หมายเหตุ
-
• อ้างอิงกับคู่มือการใช้งานสีย้อมแบบเรืองแสง (fluorescent dye) ผสมสีย้อมในปริมาณที่กำหนดลงในน้ำมันเครื่องหรือน้ำมันเกียร์/เกียร์ขับเคลื่อนล้อหน้า
2. เทสีย้อมแบบเรืองแสงลงในน้ำมันเครื่องหรือน้ำมันเกียร์/เกียร์ขับเคลื่อนล้อหน้าที่ถ่ายออก แล้วจึงเทกลับเข้าไป
3. ปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงาน 30 นาที
4. ตรวจสอบสีย้อมที่รั่วซึมออกมาโดยการฉายแสง UV (แบล็กไลต์) แล้วระบุประเภทของน้ำมันหล่อลื่นที่รั่วซึมอยู่
5. ถ้าไม่พบการรั่วซึมของสีย้อม ปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานอีก 30 นาที หรือขับรถต่อ จากนั้นจึงตรวจสอบซ้ำ
6. ค้นหาตำแหน่งที่น้ำมันหล่อลื่นรั่วออกมา จากนั้นจึงดำเนินการซ่อมแซมตามความจำเป็น
-
หมายเหตุ
-
• สำหรับการตัดสินใจว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่นหลังจากเติมสีย้อมแบบเรืองแสงเข้าไปแล้วหรือไม่ ให้อ้างอิงจากคู่มือการใช้งานสีย้อมแบบเรืองแสง
ไม่ใช้แสง UV (แบล็กไลต์)
1. รวบรวมตัวอย่างน้ำมันหล่อลื่นที่รั่วซึมออกมาโดยใช้กระดาษทิชชูซับสีขาว
2. จากนั้น รวบรวมตัวอย่างน้ำมันเครื่องและน้ำมันเกียร์/เกียร์ขับเคลื่อนล้อหน้าบางส่วนบนผ้าขาวหรือแผ่นกระดาษ
-
• รถยนต์เกียร์ MT: น้ำมันเกียร์/เกียร์ขับเคลื่อนล้อหน้า
• รถยนต์เกียร์ AT: น้ำมันเกียร์อัตโนมัติ
• รถยนต์เกียร์ CVT: น้ำมันเกียร์ CVT
3. เปลี่ยนเทียบลักษณะภายนอกและกลิ่น จากนั้นระบุประเภทของน้ำมันหล่อลื่นที่รั่ว
4. ถ่ายน้ำมันหล่อลื่นออกจากเครื่องยนต์หรือระบบเกียร์/เกียร์ขับเคลื่อนล้อหน้า
5. ปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงาน 30 นาที
6. ตรวจสอบตำแหน่งที่น้ำมันหล่อลื่นรั่วออกมา จากนั้นจึงดำเนินการซ่อมแซมตามความจำเป็น
การถอด/ต่อสายขั้วลบแบตเตอรี่
คำเตือน
-
ขั้นตอนที่จำเป็นหลังการถอด/ต่อสายแบตเตอรี่ขั้วลบ
ชื่อระบบ
|
สภาพหลังจากถอดสายแบตเตอรี่ขั้วลบออกแล้ว
|
ขั้นตอนที่จำเป็น
|
ข้อมูลอ้างอิง
|
ก่อนถอดสายแบตเตอรี่ขั้วลบออก
|
หลังต่อสายแบตเตอรี่ขั้วลบ
|
ระบบกระจกไฟฟ้า
|
รีเซ็ตกลับไปเป็นค่าเริ่มต้นและไม่สามารถใช้งานฟังก์ชั่นอัตโนมัติได้
|
—
|
ดำเนินการตั้งค่าเริ่มต้นของระบบกระจกไฟฟ้า
|
|
นาฬิกาและเครื่องเสียง
|
การแสดงผลนาฬิกาและหน่วยความจำของระบบเครื่องเสียงจะถูกรีเซ็ท
|
ตรวจสอบข้อมูลการตั้งค่า
|
กำหนดข้อมูลที่จะตรวจสอบก่อนถอดสายแบตเตอรี่ขั้วลบออก
|
—
|
ระบบ i-stop
|
ข้อมูลที่กำหนดไว้ใน PCM จะถูกลบออกและระบบ i-stop จะไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
|
ตรวจสอบความถูกต้องของค่า PID “BATT_SOC” และบันทึก *1
|
ทำการตั้งค่าเริ่มต้นสภาวะแบตเตอรี่ (การตั้งค่าระบบ i-stop) *2
|
|
ระบบเตือนแรงดันลมยาง (TPMS)
|
ความแม่นยำในการตรวจจับของระบบเตือนแรงดันลมยางลดลง
|
—
|
ทำการตั้งค่าเริ่มต้นระบบเตือนแรงดันลมยาง
|
|
*1 : เนื่องจากต้องใช้ค่า “BATT_SOC” ก่อนถอดสายแบตเตอรี่ขั้วลบสำหรับการตั้งค่าเริ่มต้นของสภาพแบตเตอรี่ (การตั้งค่า i-stop) ให้จดบันทึกค่า “BATT_SOC” เก็บไว้ก่อนปลดสายแบตเตอรี่ขั้วลบ
*2 : สำหรับรถรุ่นที่มีระบบ i-stop ถ้าได้ถอดและต่อสายแบตเตอรี่ขั้วลบกลับเข้าไปใหม่ ต้องดำเนินการตั้งค่าเบื้องต้นของสภาพแบตเตอรี่ (การตั้งค่า i-stop)
สลับแหล่งจ่ายไฟโดยใช้ปุ่มกดสตาร์ทและสตาร์ทเครื่องยนต์
• แหล่งจ่ายไฟจะเปลี่ยนไปตามสภาพของรถยนต์ เช่น ตำแหน่งคันเกียร์ (MTX)/คันเกียร์ (ATX) และการเหยียบ/ปล่อยแป้นเหยียบ
การถอดชิ้นส่วนต่างๆ
• ในขณะแก้ไขปัญหา ให้พยายามหาสาเหตุของปัญหาด้วย ควรเริ่มต้นการทำงานเมื่อรู้แล้วว่าชิ้นส่วนและส่วนประกอบย่อยใดที่จำเป็นต้องถอดและแยกส่วนออกเพื่อเปลี่ยนใหม่หรือซ่อมแซม หลังจากถอดชิ้นส่วนหนึ่งออกแล้ว ให้ใช้ปลั๊กอุดรูและช่องต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมเล็ดลอดเข้าไปได้
การปรับตั้งโมดูลควบคุม (การตั้งค่าเริ่มต้น)
-
ข้อควรระวัง
-
• ถ้าไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการปรับตั้งค่าให้เสร็จสมบูรณ์อย่างถูกต้องหลังจากเปลี่ยนโมดูลควบคุมที่ต้องการการตั้งค่า ระบบดังกล่าวจะไม่สามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ ดังนั้น ให้ปฏิบัติงานตามขั้นตอนการเปลี่ยนที่ระบุอยู่ในคู่มือซ่อม
• ถ้ามีการเปลี่ยนโมดูลควบคุม อาจจำเป็นต้องเขียนข้อมูลรายละเอียดทางเทคนิคของรถยนต์ไปที่โมดูลควบคุมตัวใหม่โดยใช้ M-MDS ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโมดูลควบคุมที่เปลี่ยน ขั้นตอนนี้ใช้สำหรับการปรับตั้งค่า (การตั้งค่าเริ่มต้น)
• ขั้นตอนการปรับตั้งค่าสำหรับโมดูลควบคุมมีอยู่สามวิธีการดังต่อไปนี้:
-
― การปรับตั้งค่าอัตโนมัติ
-
• โมดูลควบคุมหลัก (ติดตั้งอยู่ในแผงหน้าปัด) จะดำเนินการปรับตั้งค่าโมดูลควบคุมตัวใหม่ด้วยตัวเองและใช้ข้อมูลรายละเอียดทางเทคนิคของรถยนต์ที่ส่งผ่านมาทางสาย CAN โดยอัตโนมัติ
― การปรับตั้งค่าโดยอาศัยวิธีการอ่าน/เขียนข้อมูลรถยนต์
-
• อ่านข้อมูลรถยนต์จากโมดูลควบคุมก่อนดำเนินการเปลี่ยนใหม่ และเขียนข้อมูลรถยนต์ไปที่โมดูลควบคุมตัวใหม่
― การปรับตั้งค่าโดยใช้ข้อมูล As-Built:
-
• ขอข้อมูลรายละเอียดทางเทคนิคของรถยนต์เมื่อรถยนต์จัดส่งออกมาจากโรงงาน และเขียนข้อมูลไปที่โมดูลควบคุมตัวใหม่
• ให้ใช้การปรับตั้งค่าโดยใช้ข้อมูล As-Built ถ้าไม่สามารถอ่านข้อมูลรถยนต์ได้เนื่องจากโมดูลควบคุมที่ต้องการเปลี่ยนใหม่ชำรุดเสียหาย หรือถ้าพบรหัส DTC ที่แสดงว่ามีการตรวจพบความผิดปกติของการปรับตั้งค่า
• ถ้าปรับตั้งค่าโมดูลควบคุมที่มีคุณสมบัติปรับแต่งส่วนตัวโดยใช้ข้อมูล As-Built การตั้งค่าที่ลูกค้าปรับแต่งไว้เป็นส่วนตัวจะถูกเปลี่ยนกลับเป็นค่าเริ่มต้น (ค่าตั้งจากโรงงาน) ในกรณีนี้ ให้ตรวจสอบความถูกต้องของค่าตั้งที่ลูกค้าตั้งไว้และเปลี่ยนค่าตั้งที่ปรับแต่งไว้เป็นส่วนตัวโดยใช้รายการ “Programmable Parameters” จากเมนู M-MDS
• ถ้าใช้เมนูการตั้งโปรแกรมโมดูลของ M-MDS (Programmable Module Installation, As-Built, Programmable Parameters) ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนดังกล่าวในขณะที่ไอคอนแบตเตอรี่ของ M-MDS เป็นสีเขียวหรือสีเทา
การถอดแยกชิ้นส่วน
• ถ้าขั้นตอนการแยกชิ้นส่วนมีความซับซ้อน และจำเป็นต้องแยกชิ้นส่วนของส่วนประกอบหลายชิ้น ควรทำเครื่องหมายชิ้นส่วนทุกชิ้นไว้ในตำแหน่งที่จะไม่ส่งผลเสียต่อสมรรถนะการทำงานหรือลักษณะภายนอก และเป็นการระบุตำแหน่งเพื่อให้สามารถประกอบชิ้นส่วนกลับเข้าไปใหม่ได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพ
การตรวจสอบระหว่างการถอดชิ้นส่วน การถอดแยกชิ้นส่วน
• เมื่อถอดชิ้นส่วนแต่ละชิ้นออกแล้ว ควรตรวจสอบหาความผิดปกติ, การเสียรูป, ความเสียหาย และปัญหาอื่นๆ อย่างละเอียด
การเตรียมชิ้นส่วน
• ชิ้นส่วนที่ถูกถอดแยกออกแล้วทุกชิ้นควรจัดเรียงไว้อย่างละเอียดเพื่อประกอบกลับ
• ต้องแน่ใจว่าได้แยกหรือระบุชิ้นส่วนที่จะเปลี่ยนใหม่ออกจากชิ้นส่วนที่จะนำกลับมาใช้ใหม่
การทำความสะอาดชิ้นส่วน
• ชิ้นส่วนทั้งหมดที่จะนำกลับมาใช้ใหม่ควรทำความสะอาดอย่างละเอียดและทั่วถึงตามวิธีการที่เหมาะสม
-
คำเตือน
-
• การใช้ลมอัดสามารถเป็นสาเหตุให้ฝุ่นและอนุภาคอื่นๆ ฟุ้งกระจายและทำอันตรายแก่ดวงตาได้ ต้องสวมแว่นตานิรภัยทุกครั้งที่ใช้งานลมอัด
การประกอบคืน
• ต้องปฏิบัติตามค่ามาตรฐานต่างๆ เช่น ค่าแรงขันและค่าปรับเฉพาะอื่นๆ อย่างเคร่งครัดในการประกอบชิ้นส่วนทั้งหมดกลับเข้าที่
• ถ้าถอดชิ้นส่วนเหล่านี้ออก ควรเปลี่ยนด้วยชิ้นส่วนใหม่:
ซีลน้ำมัน
|
สลักปลายแยก
|
ปะเก็น
|
น็อตล็อก (น็อตไนลอน)
|
โอริง
|
สลักสปริง
|
แหวนล็อก
|
—
|
• ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง:
-
― ควรทาสารกันรั่วและปะเก็น หรือทั้งสองอย่าง ลงในตำแหน่งที่กำหนดไว้ เมื่อทาสารกันรั่วแล้ว ควรติดตั้งชิ้นส่วนดังกล่าวก่อนที่สารกันรั่วจะแข็งตัวเพื่อป้องกันการรั่วซึม
― ควรทาน้ำมันหล่อลื่นที่ส่วนประกอบที่มีการเคลื่อนที่ของชิ้นส่วนต่างๆ
― ควรทาน้ำมันหล่อลื่นหรือจาระบีที่กำหนดที่ตำแหน่งที่ระบุไว้ (เช่น ซีลน้ำมัน) ก่อนการประกอบกลับ
การปรับตั้ง
• ใช้เกจวัดและเครื่องมือทดสอบที่เหมาะสมเมื่อทำการปรับ
ชิ้นส่วนยางและท่อหุ้ม
• ป้องกันไม่ให้น้ำมันเบนซินหรือน้ำมันหล่อลื่นเปื้อนชิ้นส่วนยางหรือท่อหุ้ม
ที่หนีบท่ออ่อน
• เมื่อติดตั้งกลับ ให้จัดตำแหน่งของที่หนีบท่ออ่อนไว้ที่ตำแหน่งเดิมบนท่ออ่อนและบีบที่หนีบเบาๆ ด้วยคีมขนาดใหญ่เพื่อให้มีความแน่นพอดี
-
หมายเหตุ
-
• ปฏิบัติตามคำอธิบายในแต่ละหัวข้อเนื่องจากที่หนีบที่ใช้กับระบบที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันเชื้อเพลิงต่างจากที่แสดงไว้ข้างต้น
สูตรการขัน
• เมื่อใช้งานประแจแรงบิดร่วมกับ
SST หรือเครื่องมือเทียบเท่าอื่น ต้องคำนวณค่าแรงขันที่กำหนดไว้ใหม่เนื่องจากต้องเพิ่มความยาวของ
เครื่องมือพิเศษ (SST) หรือเครื่องเทียบเท่าเข้ากับประแจแรงบิด คำนวณค่าแรงขันใหม่โดยใช้สูตรต่อไปนี้ เลือกสูตรที่เหมาะกับคุณ
หน่วยค่าแรงขัน
|
สูตร
|
N·m
|
N·m ×[L/(L+A)]
|
kgf·m
|
kgf·m ×[L/(L+A)]
|
kgf·cm
|
kgf·cm ×[L/(L+A)]
|
ft·lbf
|
ft·lbf ×[L/(L+A)]
|
in·lbf
|
in·lbf ×[L/(L+A)]
|
A : ความยาวของเครื่องมือพิเศษ (SST) ที่เลยส่วนไดร์ฟของประแจแรงบิด
L : ความยาวของประแจแรงบิด
คีมจับ
• เมื่อใช้งานคีมจับ ให้วางแผ่นป้องกันไว้ในปากจับของคีมจับเพื่อป้องกันความเสียหายของชิ้นส่วน
ไดนาโมมิเตอร์
ข้อควรระวังในการใช้งานไดนาโมมิเตอร์สำหรับแชสซีส์
-
• เมื่อทำการตรวจสอบและให้บริการระบบส่งกำลังบนไดนาโมมิเตอร์หรือเครื่องมือทดสอบมาตรวัดความเร็ว ต้องระวังในสิ่งต่อไปนี้:
-
― วางพัดลม ทางที่ดีควรเป็นประเภทได้สัดส่วนต่อความเร็วรถยนต์ ไว้ด้านหน้ารถยนต์
― ต้องแน่ใจว่ารถยนต์อยู่ในอู่ซ่อมที่มีระบบถ่ายเทก๊าซไอเสีย
― ต้องควบคุมความร้อนของกันชนหลังตลอดเวลาโดยการวางพัดลมระบายความร้อนไว้ใกล้กับท่อไอเสียเพื่อไม่ให้กันชนหลังเสียรูปเนื่องจากความร้อนจากไอเสีย
― ดูแลไม่ให้บริเวณรอบๆ รถยนต์มีสิ่งของวางเกะกะเพื่อไม่ให้มีการสะสมความร้อน
― สังเกตเกจวัดอุณหภูมิน้ำอยู่ตลอดเวลาและไม่ปล่อยให้เครื่องยนต์ร้อนจัด
― หลีกเลี่ยงการเพิ่มโหลดให้แก่เครื่องยนต์และรักษาสภาพการขับขี่ปกติไว้ให้มากที่สุด
-
หมายเหตุ
-
• เมื่อมีเฉพาะล้อหน้าหรือล้อหลังที่หมุนได้บนไดนาโมมิเตอร์สำหรับแชสซีส์หรืออุปกรณ์เทียบเท่า ABS/DSC HU/CM จะตัดสินว่ามีความผิดปกติใน ABS/DSC และเปิดไฟต่อไปนี้:
รถยนต์ที่มี ABS
-
― ไฟเตือน ABS
― ไฟเตือนระบบเบรก
รถยนต์ที่มี DSC
-
― ไฟเตือน ABS
― ไฟเตือนระบบเบรก
― ไฟแสดงสถานะ TCS/DSC
• ถ้าไฟข้างต้นติดสว่างขึ้น ให้ยกรถยนต์ออกจากไดนาโมมิเตอร์สำหรับแชสซีส์และหมุนสวิตช์กุญแจไปที่ตำแหน่งปิด (LOCK) จากนั้น บิดสวิตช์กุญแจไปที่ตำแหน่ง ON (สตาร์ทเครื่อง) ขับรถที่ความเร็ว
10 กม./ชม. {6.2 ไมล์/ชม.} หรือสูงกว่า และตรวจสอบให้แน่ใจว่าไฟเตือนดังกล่าวดับลงแล้ว ในกรณีนี้ รหัส DTC จะถูกบันทึกอยู่ในหน่วยความจำ ล้างรหัส DTC ออกจากหน่วยความจำโดยการปฏิบัติตามขั้นตอนการล้างหน่วยความจำ [DSC] ในระบบการวิเคราะห์ปัญหาในรถยนต์ (ดู
การล้างรหัส DTC [ABS HU/CM]) (ดู
การล้างรหัส DTC [DSC HU/CM])
ข้อควรระวังสำหรับรถยนต์ที่มีระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ (SCBS))
-
ข้อควรระวัง
-
• ถ้าตรวจสอบรถยนต์ที่มีระบบต่อไปนี้โดยใช้ไดนาโมมิเตอร์สำหรับแชสซีส์ ต้องปิดการทำงานของระบบก่อนเริ่มต้นการตรวจสอบ
-
― ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ (SBS)
• หากใช้งานไดนาโมมิเตอร์สำหรับแชสซีส์โดยไม่ปิดการทำงานของระบบก่อน ระบบเบรกอัตโนมัติจะทำงานและจะไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างถูกต้อง
• ในกรณีที่ใช้งานไดนาโมมิเตอร์สำหรับแชสซีส์โดยไม่ปิดการทำงานของระบบก่อน ต้องใช้มาตรการที่เหมาะสมที่อ้างอิงไว้ต่อไปนี้ เนื่องจากไฟเตือนระบบอาจติดสว่าง และรหัส DTC จะถูกบันทึกเก็บไว้ในหน่วยความจำ
การหมุนล้อหน้าหรือล้อหลังด้านเดียว
• ถ้าหมุนเฉพาะล้อหน้าหรือล้อหลัง ชุด DSC HU/CM จะตัดสินว่า DSC ทำงานผิดปกติ และไฟเตือนต่อไปนี้จะติดสว่างขึ้น
-
― ไฟเตือนระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ (SCBS) (สีเหลือง) ติดสว่างขึ้น
-
1. ถ้าไฟเตือนดังกล่าวติดสว่างขึ้น ให้ยกรถยนต์ออกจากไดนาโมมิเตอร์สำหรับแชสซีส์ และ OFF สวิตช์กุญแจ
2. หมุนสวิตช์กุญแจกลับไปที่ ON และขับรถที่ความเร็ว 10 กม./ชม. หรือสูงกว่า เพื่อตรวจสอบความถูกต้องว่าไฟเตือนดับลงแล้ว
3. เนื่องจากมีรหัส DTC ถูกบันทึกไว้อยู่ ให้ล้างรหัส DTC ออกให้หมดโดยใช้ขั้นตอนการล้างหน่วยความจำ
การหมุนล้อทั้งสี่ล้อ
• ถ้าล้อทั้งสี่หมุน ชุด DSC HU/CM จะตัดสินว่ามีความผิดพลาดในข้อมูลตำแหน่งของวัตถุที่ตรวจจับได้โดยเรดาร์เซ็นเซอร์ ดังนั้น ชุด DSC HU/CM จะตัดสินว่าเกิดความผิดปกติขึ้น และเปิดไฟเตือนต่อไปนี้
-
― ไฟเตือนระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ (SCBS) (สีเหลือง)
-
1. ถ้าไฟเตือนดังกล่าวติดสว่างขึ้น ให้ยกรถยนต์ออกจากไดนาโมมิเตอร์สำหรับแชสซีส์ และ OFF สวิตช์กุญแจ
2. หมุนสวิตช์กุญแจกลับไปที่ตำแหน่ง ON และตรวจสอบว่าไฟเตือนดังกล่าวดับลงและข้อความหายไปแล้ว
3. เนื่องจากมีรหัส DTC ถูกบันทึกไว้อยู่ ให้ล้างรหัส DTC ออกให้หมดโดยใช้ขั้นตอนการล้างหน่วยความจำ